Please use this identifier to cite or link to this item:
http://202.28.34.124/dspace/handle123456789/43
Full metadata record
DC Field | Value | Language |
---|---|---|
dc.contributor | Nutchanet Inthida | en |
dc.contributor | นุจเนตร อินธิดา | th |
dc.contributor.advisor | Prasart Nuangchalerm | en |
dc.contributor.advisor | ประสาท เนืองเฉลิม | th |
dc.contributor.other | Mahasarakham University. The Faculty of Education | en |
dc.date.accessioned | 2019-08-08T07:01:33Z | - |
dc.date.available | 2019-08-08T07:01:33Z | - |
dc.date.issued | 10/2/2019 | |
dc.identifier.uri | http://202.28.34.124/dspace/handle123456789/43 | - |
dc.description | Master of Education (M.Ed.) | en |
dc.description | การศึกษามหาบัณฑิต (กศ.ม.) | th |
dc.description.abstract | Learning management through 7-E inquiry and socioscientific issues-based instruction are learning models with an emphasis on enhancing students’ learning outcomes according to the learner-centered approach. The purposes of this study were: 1) to develop organization plans toward 7-E inquiry and socioscientific issues-based instruction to have a required efficiency of 80/80 2) to find out effectiveness indices of learning organization of 7-E inquiry and socioscientific issues-based instruction, and 3) to compare learning achievement, analytical thinking, and attitudes toward science learning of Matthayomsueksa 3 students between of 7-E inquiry and socioscientific issues-based instruction. The sample used inthis study consisted of 68 Matthayomsueksa 3 (grade 9) students from 2 classrooms at Banluemphitthayasan school, Banluem district, Nakornratchasima in the academic year 2015, obtained using the cluster random sampling technique. One classroom of 33 students was learned using 7-E inquiry. The other classroom of 35 students was learned using socioscientific issues-based instruction. The instruments used in the study were : 1) 7-E inquiry plans and socioscientific issues-based instruction plans, 7 plans for each model ; 2) a 40-item 4 choice achievement of Matthayomsueksa 3 test on The Heredity with discriminating powers (B) ranging 0.32 – 0.63 and reliability (rcc) of 0.92, 3) a 20-item 4 choice analytical thinking test with difficulties (p) ranging 0.39 – 0.79, discriminating powers (r) ranging 0.32 – 0.86 and a reliability (Rtt) of 0.93 ; and 4) a 20-item 5-rating-scale inventory on science learning attitude with discriminating power ranging 0.24 – 0.88 and a reliability (rxy) of 0.83. The statistics used for analyzing the collected data were percentage, mean, standard deviation, and Hotelling T2 were employed for testing hypotheses. The findings were as follow : 1. The develop 7-E inquiry plans and socioscientific issues-based instruction plans entitled The Heredity in the science learning strand for Matthayomsueksa 3 students had efficiencies of 82.67/81.14 and 83.48/82.07 respectively. 2. Effectiveness indices of the 7-E inquiry and socioscientific issues-based instruction entitled The Heredity in the science learning strand for Matthayomsueksa 3 students were 0.6975 and 0.7144 which the students showed the post-test higher scores than pre-test were 69.75 and 71.44 respectively. 3. Learning achievement, analytical thinking, and attitudes toward science learning between of 7-E inquiry and socioscientific issues-based instruction were no significance difference, and the attitudes toward science learning difference is statistically significant at the .05 level. In conclusion, the 7-E inquiry plans and socioscientific issues-based instruction plans were appropriately efficient and effective. The both plans were no significance difference on learning achievement and analytical thinking, and the point average show post-test higher attitudes toward science learning than pre-test. Therefore, science teachers could implement both models as appropriate. | en |
dc.description.abstract | การจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 7 ขั้น และแนวคิดประเด็นวิทยาศาสตร์กับสังคมเป็นรูปแบบการเรียนรู้ที่มุ่งส่งเสริมการเรียนของนักเรียนตามหลักการจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ การวิจัยครั้งนี้มีความมุ่งหมาย 1) เพื่อพัฒนาแผนการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 7 ขั้น และแนวคิดประเด็นวิทยาศาสตร์กับสังคม ที่มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 2) เพื่อหาดัชนีประสิทธิผลของกิจกรรมการเรียนโดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะ 7 ขั้น และแนวคิดประเด็นวิทยาศาสตร์กับสังคม และ 3) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน การคิดวิเคราะห์ และเจตคติต่อการเรียนวิทยาศาสตร์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ที่เรียนด้วยการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 7 ขั้น และแนวคิดประเด็นวิทยาศาสตร์กับสังคม กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนบ้านเหลื่อมพิทยาสรรพ์ อำเภอบ้านเหลื่อม จังหวัดนครราชสีมา จำนวน 2 ห้อง 68 คน ปีการศึกษา 2558 ซึ่งได้มาโดยการสุ่มแบบกลุ่ม หนึ่งห้องเรียนจำนวน 33 คน ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 7 ขั้น อีกหนึ่งห้องเรียนจำนวน 35 คน ได้รับการจัดการเรียนรู้แนวคิดประเด็นวิทยาศาสตร์กับสังคม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) แผนการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะ 7 ขั้น และแนวคิดประเด็นวิทยาศาสตร์กับสังคม แต่ละรูปแบบมีจำนวน 7 แผน 2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง การถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 แบบปรนัย 4 ตัวเลือก จำนวน 40 ข้อ มีค่าอำนาจจำแนกรายข้อ (B) ตั้งแต่ 0.30 ถึง 0.63 ค่าความเชื่อมั่น (rcc) ทั้งฉบับเท่ากับ 0.92 3) แบบทดสอบการคิดวิเคราะห์ แบบปรนัย 4 ตัวเลือก จำนวน 20 ข้อ มีค่าความยากรายข้อ (p) ตั้งแต่ 0.39 ถึง 0.79 ค่าอำนาจจำแนกรายข้อ (r) ตั้งแต่ 0.32 ถึง 0.86 ค่าความเชื่อมั่น (rtt) ทั้งฉบับเท่ากับ 0.93 และ 4) แบบวัดเจตคติต่อการเรียนวิทยาศาสตร์ชนิดมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ จำนวน 20 ข้อ มีค่าอำนาจจำแนกรายข้อตั้งแต่ 0.24 ถึง 0.88 ค่าความเชื่อมั่น (rxy) ทั้งฉบับเท่ากับ 0.83 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและการทดสอบสมมติฐานใช้ Hotelling T2 ผลการวิจัยปรากฏ ดังนี้ 1. แผนการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 7 ขั้น และแนวคิดประเด็นวิทยาศาสตร์กับสังคม เรื่อง การถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นมีประสิทธิภาพ 82.67/81.14 และ 83.48/82.07 ตามลำดับ ซึ่งเป็นไปตามเกณฑ์ที่ตั้งไว้ 2. ดัชนีประสิทธิผลของการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 7 ขั้น และแนวคิดประเด็นวิทยาศาสตร์กับสังคม เรื่อง การถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ มีค่าเท่ากับ 0.6975 และ 0.7144 ซึ่งแสดงว่านักเรียนมีคะแนนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนคิดเป็นร้อยละ 69.75 และ 71.44 ตามลำดับ 3. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและการคิดวิเคราะห์ ของนักเรียนที่เรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 7 ขั้น และแนวคิดประเด็นวิทยาศาสตร์กับสังคมไม่แตกต่างกัน แต่เจตคติต่อการเรียนวิทยาศาสตร์แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 โดยสรุป แผนการจัดการเรียนรู้แบบแบบสืบเสาะหาความรู้ 7 ขั้นและแนวคิดประเด็นวิทยาศาสตร์กับสังคม มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลเหมาะสม แผนการจัดการเรียนรู้ทั้งสองรูปแบบนักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและการคิดวิเคราะห์ ไม่แตกต่างกัน และมีคะแนนเฉลี่ยเจตคติต่อการเรียนวิทยาศาสตร์หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน ดังนั้นครูวิทยาศาสตร์จึงสามารถนำวิธีการสอนทั้งสองนี้ไปใช้ได้ตามความเหมาะสม | th |
dc.language.iso | th | |
dc.publisher | Mahasarakham University | |
dc.rights | Mahasarakham University | |
dc.subject | ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน | th |
dc.subject | เจตคติต่อการเรียนวิทยาศาสตร์ | th |
dc.subject | สืบเสาะหาความรู้ 7 ขั้น | th |
dc.subject | ประเด็นวิทยาศาสตร์กับสังคม | th |
dc.subject | การคิดวิเคราะห์ | th |
dc.subject | Learning achievement | en |
dc.subject | Attitudes toward science learning | en |
dc.subject | 7-E inquiry | en |
dc.subject | Socioscientific issues-based instruction | en |
dc.subject | Analytical thinking | en |
dc.subject.classification | Social Sciences | en |
dc.title | Comparisons of Learning Achievement, Analytical Thinking, and Attitudes toward Science Learning of Matthayomsueksa 3 Students between of 7-E Inquiry and Socioscientific Issues-Based Instruction | en |
dc.title | การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน การคิดวิเคราะห์ และเจตคติต่อการเรียนวิทยาศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ระหว่างการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 7 ขั้น กับแนวคิดประเด็นวิทยาศาสตร์กับสังคม | th |
dc.type | Thesis | en |
dc.type | วิทยานิพนธ์ | th |
Appears in Collections: | The Faculty of Education |
Files in This Item:
File | Description | Size | Format | |
---|---|---|---|---|
60010585040.pdf | 2.37 MB | Adobe PDF | View/Open |
Items in DSpace are protected by copyright, with all rights reserved, unless otherwise indicated.